เช้านี้ฉันตื่นขึ้นมารู้สึกปวดหัวนิดหน่อย คงเป็นอาการเมาค้างสินะ แต่เอ๊ะ… ผู้ชายคนนี้???

ฉันรีบลุกขึ้นมาแต่งตัวแล้วก็นึกออกว่า เมื่อคืนเราคุยกัน รู้จักกัน เล่นดนตรีร้องเพลงด้วยกันบนเวทีอย่างสนุกสนาน นั่งดื่มกันต่อ แล้วเขาก็เดินมาส่งที่บ้าน รถไฟก็หมดแล้วฉันก็เลยให้เขาค้างที่นี่ รู้สึกจะชื่อ มิคิโอะ สินะ (นี่ฉันเมาขนาดนี้เลยหรือนี่)

ตอนแรกก็นึกว่าเป็นเด็กทำงานพิเศษที่ร้าน แต่พอคุยกับคุณมันตะถึงได้รู้ว่าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย มาช่วยงานที่ร้านบ่อยๆ เพราะสนิทกัน ฉันเองก็ไม่ได้เข้าไปที่ร้านชะรันโปรันของคุณมันตะมา 2-3 ปีแล้วนี่

มองไปมองมาก็หน้าตาใช้ได้เหมือนกันนะ เป็นนักศึกษาปี 4 หรอ… หา!!! เด็กกว่าฉันตั้ง 4 ปีแน่ะ! นี่ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย

แต่… ก็ใช่ว่าจะรู้สึกไม่ดีหรอกนะ :P

ผมชื่อมิคิโอะ เป็นนักศึกษาปี 4 สาขาภาพนิ่ง คณะนิเทศศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในโตเกียว ร้านอาหารที่ผมนั่งเป็นประจำคือร้าน ‘ชะรันโปรัน’ ซึ่งเป็นร้านที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย และอยู่ระหว่างทางกลับบ้านผมพอดี ไม่ว่าจะเป็นกาแฟยามเช้า ข้าวเที่ยง มื้อเย็น มื้อดึก รวมไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผมก็จะมาอุดหนุนร้านนี้อยู่เสมอ จนสนิทชิดเชื้อกับคุณมันตะเจ้าของร้านไปแล้ว ถึงขั้นเมื่อยามขัดสนเรื่องเงินทอง คุณมันตะก็ให้ผมช่วยงานแลกกับการกินฟรี พอผ่านไปเรื่อยๆ ก็กลายเป็นว่า ผมไปช่วยงานที่ร้านจนหลายคนคิดว่าผมเป็นพนักงานที่ร้านไปซะแล้ว แต่ความสัมพันธ์ของคนเรานั้น เมื่อสนิทกันถึงจุดหนึ่ง เรื่องเงินๆ ทองๆ ก็ไม่สลักสำคัญเท่าใดนัก ก็คือวันไหนว่างๆ ผมก็จะไปช่วยงานตลอด แต่ก็ใช่ว่าผมจะทำเพื่อกินฟรี ผมก็ยังจ่ายเงินเหมือนลูกค้าปกตินั่นแหละ เรียกว่าไปช่วยจนเป็นงานอดิเรกก็น่าจะได้ เพียงแต่วันไหนมีโอกาสพิเศษหรือคุณมันตะอารมณ์ดี ผมก็จะได้กินฟรีดื่มฟรีบ้าง

อย่างที่บอกไปว่าผมเรียนถ้านถ่ายภาพเป็นวิชาหลัก นั่นเพราะผมรักการถ่ายภาพ ผมเริ่มจับกล้องตั้งแต่เด็ก เรียนรู้จนถ่ายระบบแมนนวลเป็นตั้งแต่มัธยมต้น ไม่มีวันไหนเลยที่ผมจะไม่ได้สัมผัสกล้อง และแม้ว่าในยุคปัจจุบันจะเป็นยุคแห่งกล้องดิจิตอล แต่ผมก็ยังคงใช้กล้องฟิล์มระบบฟูลแมนนวลต่อไป ก็มันน่าหลงใหลกว่าเป็นไหนๆ อะไรที่ได้มาง่ายๆ แม้จะดูสวยสักแค่ไหน สำหรับผมมันก็ดูไม่ค่อยจะมีคุณค่าทางจิตใจเอาเสียเลย ตรงกันข้าม หากได้อะไรมาด้วยความตั้งใจจริง ใช้เวลาอย่างพิถีพิถัน มีอุปสรรคบ้าง แม้บางครั้งผลลัพธ์อาจจะไม่น่าพึงพอใจนัก แต่คุณค่าที่ได้มากลับทำให้อิ่มเอิบใจอย่างบอกไม่ถูก

เช้านี้ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกแปลกๆ เมื่อคืนดื่มหนักก็จริง แต่ไม่ใช่สาเหตุของความรู้สึกนี้ ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองไปที่เพดาน ซึ่งก็ทำให้ได้คำตอบกับตัวเองว่า ไอ้ความรู้สึกแปลกๆ นั้นก็คือ ‘แปลกที่’ นั่นเอง นี่ไม่ใช่บ้านผม…
หลังจากบิดขี้เกียจเล้ว ผมก็พยายามรวบรวมสติเพื่อจะนึกให้ออกว่าที่นี่ที่ไหน แต่แล้ว ‘เธอ’ ก็เดินเข้ามาจากห้องครัวพร้อมกับทักทายว่า

“อ้าว! ตื่นแล้วหรอ? เอากาแฟมั้ย ต้มเสร็จพอดีเลย”

ความรู้สึกแปลกนั้นยังไม่จางหาย ก็ต้องมาเจออะไรแบบนี้ ยิ่งช็อคเข้าไปกันใหญ่เลยสิ

“เอ่อ… ก็ดีครับ” ผมตอบไปแบบอ้ำๆ อึ้งๆ ด้วยความไม่เข้าใจในสถานการณ์ถึงขีดสุด

“เมื่อคืนคงดื่มหนักไปหน่อยล่ะสิ” เธอชวนผมคุยขณะรินกาแฟ

“ก็คงอย่างนั้นแหละครับ” พอตอบเสร็จ ผมก็เริ่มจะนึกออกลางๆ ถึงเรื่องเมื่อคืน แต่ก่อนจะนึกออกไปมากกว่านี้ ผมก็พบว่าภายใต้ผ้าห่มที่ห่มอยู่นี้ ผมกำลังล่อนจ้อนอยู่ อีแบบนี้คงไม่ต้องเดามากแล้วล่ะว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้

ขณะกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่นั้น ความทรงจำเมื่อคืนก็ค่อยๆ หลั่งไหลเข้ามา ผมไปช่วยงานที่ร้านเป็นปกติ ลูกค้าก็เยอะเป็นปกติซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วก็เป็นลูกค้าประจำทั้งนั้น ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า นั่งกินแต่ร้านเดิมๆ เกือบทุกวันไม่เบื่อกันบ้างหรือไง แต่ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นนี่นะ

ร้านชะรันโปรันแห่งนี้ มีเวทีเล็กๆ อยู่มุมด้านหน้าติดกับประตูทางเข้า มีเครื่องดนตรีคือ เปียโน กีตาร์ พร้อมด้วยเครื่องเสียงและไมค์อีกสองตัว แต่ที่นี่ไม่มีนักดนตรีประจำหรอกครับ (คงตั้งเอาไว้เท่ๆ) คุณมันตะบอกว่าเอาไว้ให้พวกนักดนตรีขาจรมาเล่นโชว์ ซึ่งสมัยก่อนจะมีเยอะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้หายไปไหนหมด

เมื่อคืนถือเป็นคืนแรกในรอบ 2-3 ปีที่มีดนตรีสดเกิดขึ้นในที่แห่งนี้

เธอเข้ามาในร้านแล้วเดินไปนั่งตรงบาร์ ผมสะดุดตาจับจ้องไปที่เธออยู่นาน หน้าตาก็ไม่ได้มีจุดเด่นอะไร การแต่งตัวก็ธรรมดา แต่คงเป็นเพราะผมไม่เคยเจอเธอมาก่อน ก็ร้านนี้มันมีแต่ลูกค้าหน้าเดิมๆ นี่นา

ไม่นานนักผมก็เริ่มว่างๆ จากการทำงาน จึงไปนั่งที่บาร์เพื่อคุยเล่นกับคุณมันตะ เขาก็ยังวุ่นวายกับการชงเหล้าอยู่ ผมจิบเบียร์ไปพลาง ฟังเพลงไปเพลินๆ และแอบมองเธอคนนั้นเป็นระยะๆ จนผมคิดว่าเธอคงเริ่มรู้สึกตัว ผมคุยกับคุณมันตะต่อแก้เขิน

“เพลงนี้ฟังกี่รอบก็ไม่เบื่อเลยนะ As Time Goes By เนี่ย”

“ใช่มั้ยๆ ฉันก็ชอบเหมือนกันเลย” เสียงเธอแทรกเข้ามาทันทีหลังจากจบประโยคของผม เหมือนเธอจะรอจังหวะนี้มานาน หรือไม่ก็เธอคงจะชอบเพลงนี้มาก พอได้ยินอะไรเกี่ยวกับเพลงนี้ร่างกายก็ตอบสนองทันที

เราก็เลยคุยกันต่อเรื่องดนตรีแจ๊ซ บรรยากาศการสนทนาก็สนุกสนานขึ้น อารมณ์ก็กำลังกึ่มๆ ได้ที่ แล้วคุณมันตะก็เข้ามาตัดบทถามผมว่า

“แกเคยบอกฉันนี่หว่า ว่าเคยเป็นนักร้องน่ะ”

“ก็ใช่ครับ แต่มันนานมาแล้วนะลุง” ผมตอบแบบกึ่งปฏิเสธเพราะรู้ว่าเขาต้องการอะไร

“คืนนี้ก็ร้องสักหน่อยน่า อายะจังมาที่ร้านทั้งที”

“อายะ… จัง?” (ใครอ่ะ หรือว่า…?)

“อายะโกะ ค่ะ” เธอแนะนำตัว เป็นไปตามที่คิด – -” ทำไมตั้งนานผมไม่ถามชื่อเธอเลยนะ น่าอายจริงๆ

“ผมมิคิโอะครับ”

“รู้แล้วล่ะค่ะ ก่อนคุณจะมานั่ง คุณมันตะก็เล่าเรื่องคุณให้ฟังแล้ว ฮิๆ” เธอพูดแล้วก็ขำ แสดงว่าไอ้คุณมันตะต้องไม่ได้เล่าเรื่องดีๆ แน่ “เขาบอกว่าคุณร้องเพลงเพราะ เล่นกีตาร์ก็เก่ง” โม้ไปเรื่อยจริงๆ ไอ้เจ้าของร้านคนนี้ เขาไม่เคยฟังผมเล่นกีตาร์หรือร้องเพลงเลยสักครั้ง “ไม่ลองขึ้นเวทีดูหน่อยหรอคะ?” แล้วเธอก็พูดประโยคที่ผมไม่อยากได้ยินจนได้ -*-

“แหม… ไม่ดีมั้งครับ เรื่องเพลงก็ยังพอว่า แต่ผมเล่นกีตาร์ไม่เก่งขนาดเล่นโชว์คนเดียวได้หรอกครับ” ผมพยายามเอาตัวรอดแบบสุดๆ แต่แล้วผลกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง

“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย อายะจังน่ะเล่นเปียโนเป็นเหมือนกัน แกก็ไม่ต้องเล่นกีตาร์หรอก ขึ้นไปร้องอย่างเดียว เดี๋ยวให้อายะจังโซโล่เอง ดีมั้ยอายะจัง ^^;” ผมคงไม่ต้องบอกหรอกนะว่าใครพูดประโยคนี้

“แบบนั้นก็วิเศษเลยค่ะ ฉันเองก็ไม่ได้ขึ้นเวทีแบบนี้มานานแล้ว แถมตัวเองก็ร้องเพลงไม่เก่งซะด้วย” ไม่นะ… อะไรนี่ คุณอายะโกะก็เป็นไปกับเขาด้วย “ไปกันเถอะมิคิโอะคุง”

สุดท้ายก็ไม่รอด เลยต้องเลยตามเลย แต่การแสดงบนเวทีนั้น เรากลับเข้ากันได้ดี ถึงผมจะไม่เคยร้องแจ๊ซมาก่อน แต่ก็ฟังมาเยอะเลยพอไปไหว ด้วยเลือดศิลปินกับฤทธิ์แอลกอฮอล์เป็นกำลังเสริม ส่วนเธอก็มีฝีมือใช้ได้ทีเดียว แถมเล่นแต่เพลงยอดนิยม ทำให้ร้องตามกันสดๆ ไม่ยากนัก

เสร็จจากเวที ก็ก๊งกันต่อจนร้านปิด ผมทิ้งรถไว้ที่ร้าน (เมาไม่ขับ) แล้วเดินมาส่งอายะโกะที่บ้านแล้วก็…

สาเหตุที่ผมค้างบ้านเธอนั้น เพราะรถไฟหมดแล้ว ผมเองก็เดินกลับไม่ไหว ผลที่ออกมาจึงเป็นเช่นฉะนี้

_____________________